การบริหารงานตามหลักสังคหวัตถุในพระพุทธศาสนา
เขียนโดย
พระมหาธานินทร์ อาทิตวโร ดร.
มจร. วิทยาลัยสงฆ์เลย
๑. บทนำ
งานวิจัยในโลกนี้มีผลเป็นจริงอยู่ในระยะหนึ่งสมัยหนึ่งก็ต้องเปลี่ยนแปลงเพราะกาลเวลาผ่านไปมีทฤษฎีใหม่มาล้มล้าง ทฤษฎีเก่าหรือความเชื่อเก่าก็ตกไป เช่น
ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ของอริสโตเติลที่ว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ในขณะที่โคเปอร์นิคัสเห็นว่า
ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะจักรวาล ต่อมา กาลิเลโอ นักดาราศาสตร์และนักฟิสิกส์ยุคใหม่ชาวอีตาลี
ได้ค้นพบแล้วสนับสนุนแนวคิดของโคเปอร์นิคัส[๑]
กาลิเลโอ
ได้ค้นพบทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับการตกลงของวัตถุที่มีน้ำหนัก ไม่เท่ากันแต่จะ ลงถึงพื้นดินพร้อมกัน
ซึ่งแตกต่างจาก ทฤษฎีที่อริสโตเติลเคยอธิบายไว้ว่า “การ ที่สิ่งของตกลงสู่พื้นดินนั้น
เป็นเรื่องของการเคลื่อนที่ตามธรรมชาติ มิได้มีเรื่องของแรงมาเกี่ยวข้อง
หากเป็นเพราะโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ทุกสิ่งจึงต้องเคลื่อนที่เข้าสู่ศูนย์กลางของโลก”[๒] หรืออธิบายให้เข้าใจง่ายก็คือ
วัตถุที่มีมวลต่างกัน เมื่อปล่อยให้ตกลงมา วัตถุที่หนักจะตกถึงพื้นก่อน[๓]
กาลิเลโอได้ทำการทดลอง
ณ หอเอนแห่งเมืองปิซา (Piza)
โดยพิสูจน์ให้เห็นว่า วัตถุต่างชนิดตกลงสู่พื้นโลก ด้วยความเร่งที่เท่ากัน แนวความคิดนี้ถูกนำไปพัฒนาต่อโดย
เซอร์ไอแซค นิวตัน นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษในยุคต่อมา[๔] กาลิเลโอได้ทำการปล่อยวัตถุที่มีมวลต่างกัน ๒ ชิ้น ในเวลาพร้อมกัน ซึ่งวัตถุดังกล่าว
ได้ตกลงมาภายใต้แรงโน้มถ่วงโลก และถึงพื้นเกือบจะพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าความคิดของอริสโตเติลนั้นไม่ถูกต้อง[๕]
จากข้อความข้างต้นนี้จะเห็นว่าความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
แต่หลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบแล้วนำมาสอนสาวกยังคงให้ผลตามที่พระองค์ตรัสไว้ทุกประการไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ทนต่อการพิสูจน์ เช่น หลักสังคหวัตถุนี้ ซึ่งเป็นหลักคำสอนที่พระพุทธองค์วางไว้เพื่อเป็นแนวทางแก่การปฏิบัติต่อกันของสาวกให้เกิดความไมตรีต่อกันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของกันและกัน
หลักสังคหวัตถุ การสงเคราะห์กันและกันเป็นหลักที่จำเป็นต่อสังคมที่อยู่ร่วมกันโดยเฉพาะ
ทาน การให้สิ่งของแก่ผู้ร่วมงาน เป็นการให้กำลังใจแก่ผู้ร่วมงาน
ซึ่งการให้กำลังใจแก่ผู้ร่วมงานมีหลายวิธี การใช้วาจาไพเราะ
สุภาพอ่อนโยนก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ร่วมงานเกิดความประทับใจ
มีกำลังใจที่จะทำงานอย่างมีความสุข การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การวางตนให้เสมอต้นเสมอปลายหรือการเอาตนเข้าไปเชื่อมประสานกับเพื่อนร่วมงานคือการเอาใจเขามาใส่ใจเรา
เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ก่อให้เกิดความรักความสามัคคีในองค์กร หลักธรรมนี้ยังไม่มีทฤษฎีสมัยใหม่ของใครมาล้มล้างได้จนเวลาล่วงมาสองพันปีเศษแล้ว
ในบทความนี้ผู้เขียนจะได้อธิบายให้เห็นว่าหลักสังคหวัตถุสามารถนำมาใช้ในการบริหารงานได้ผลจริง
และเพื่อให้ทราบว่าพระพุทธเจ้าได้วางหลักการนี้ไว้อย่างไร มีอะไรบ้าง ถ้าปฏิบัติตามแล้วจะมีผลจะเป็นอย่างไร จึงทำให้หลักการนี้ให้ผลสำเร็จแก่ผู้ปฏิบัติตามจนถึงปัจจุบัน
๒.
ความหมายของสังคหวัตถุ
สังคหวัตถุ หมายถึง เรื่องที่จะสงเคราะห์กัน,
คุณเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจของผู้อื่นไว้ได้, หลักการสงเคราะห์
คือช่วยเหลือกันยึดเหนี่ยวใจกันไว้
และเป็นเครื่องเกาะกุมประสานโลกคือสังคมแห่งหมู่สัตว์ไว้ดุจสลักยึดรถที่กำลังแล่นไปให้คงเป็นรถและวิ่งแล่นไปได้
มี ๔ อย่าง คือ ทาน
การแบ่งปันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ปิยวาจา พูดจาน่ารัก น่านิยมนับถือ
อัตถจริยา การบำเพ็ญประโยชน์
สมานัตตตา ความมีตนเสมอ คือ ทำตัวให้เข้ากันได้ เช่น ไม่ถือตัว
ร่วมสุขร่วมทุกข์กัน[๖]
๓.
วิเคราะห์การบริหารตามหลักสังคหวัตถุ ๔
๓.๑
การบริหารตามหลักทาน
หลักของทาน
การให้สิ่งของของตนแก่คนที่ควรให้ สถาบันครอบครัวการให้สิ่งของเป็นสิ่งที่หัวหน้าครอบครัวต้องเรียนรู้
คือต้องรู้จักการให้โดยเฉพาะการแบ่งปันทรัพย์สินหรือมรดกให้แก่สมาชิกในครอบครัวต้องทำด้วยความยุติธรรมปราศจากอคติ
ทานในทางพระพุทธศาสนามี ๒ อย่าง คือ
อามิสทาน การให้สิ่งของ และธรรมทาน
การให้ธรรมะ[๗]
ทานเป็นหลักพื้นฐานการบำเพ็ญบุญของชาวพุทธ คือหลักบุญกิริยาวัตถุ ๓ ได้แก่ ทาน ศีล
ภาวนา[๘]
การให้ทานตามหลักพุทธศาสนาเป็นการจำกัดกิเลสอย่างหยาบ คือ
กำจัดความตระหนี่ออกจากจิตใจของตน นอกจากนี้ผู้ที่ชอบให้ทานยังเป็นที่รักของผู้รับอีก
ดังพระพุทธพจน์ว่า ททมาโน ปิโย โหติ
ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก”[๙] หรือ “ททํ มิตฺตานิ คนฺถติ ผู้ให้ย่อมผูกใจหมู่มิตรไว้ได้”[๑๐] เนื้อความคาถาในคัมภีร์วิสุทธิมรรคกล่าวถึงอานิสงส์ของการให้ว่า
การให้
ปราบคนที่ใคร ๆ ปราบไม่ได้ (ก็ได้) การให้ ยังสิ่งประสงค์ทั้งปวงให้สำเร็จ
(ก็ได้) ด้วย การให้กับการเจรจาไพเราะ (ประกอบกันทำให้) คนทั้งหลายเงยก็มี ก้มก็มี[๑๑]
การให้วัตถุสิ่งของสามารถผูกสัมพันธไมตรีของคนที่เป็นบริวารไว้ชั่วนิรันดร
เช่น เรื่องของนายปุณณะ คนใช้หรือทาสของเมณฑกเศรษฐี ปู่ของนางวิสาขามหาอุบาสิกา ด้วยความผูกพันในเจ้านายทำให้นายปุณณะอธิษฐานขอให้เกิดมาเป็นทาสของเจ้านายทุกภพทุกชาติ[๑๒]
นายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์
เพื่อนร่วมงานของนายชิน โสภณพนิช
ผู้ก่อตั้งธนาคารกรุงเทพ ความเป็นผู้ให้ของนายชิน ทำให้นายประสิทธิ์ ซาบซึ้งน้ำใจของเพื่อนจึงไม่ยอมไปทำงานที่อื่น นายประสิทธ์กล่าวว่าบางครั้งนายชินซื้อหุ้นแล้วแบ่งให้โดยที่นายประสิทธิ์ไม่ได้ลงทุนร่วมเลย
แต่นายชินก็แบ่งให้ เป็นน้ำใจที่ทำ ให้นายประสิทธิ์ประทับใจอยู่ตลอดและเป็นเหตุให้เขาอยู่ช่วยนายชินตลอดมา[๑๓]
การให้มีหลายอย่างหลายวิธีไม่ได้หมายถึงการให้วัตถุสิ่งของอย่างเดียว
การช่วยงานตามสมควรแก่โอกาส การมีน้ำใจต่อกันบนท้องถนนของผู้ขับขี่ยานพาหนะ
การลุกให้คนแก่หรือ สตรีนั่งขณะอยู่บนรถโดยสารประจำทาง การแนะนำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต
การให้อภัยแก่ผู้ทำความผิดที่กลับตัวแล้ว หรือการให้อภัยแก่กันและกันไม่ผูกอาฆาตปองร้ายกันกับผู้ที่มีกรณีทะเลาะวิวาทกัน
ก็ถือว่าเป็นการให้เหมือนกัน โดยเฉพาะการให้อภัยนั้น ถือว่าเป็นการให้ที่ประเสริฐ
ทำให้ไม่ต้องมีเวรต่อกันและกันต่อไปอันเป็นเรื่องที่ทนทุกข์ทรมานไปนานแสนนาน มีผลเทียบเท่ากับการให้ทานซึ่งถือว่าชนะการให้ทุกอย่าง
ดังพระพุทธพจน์ว่า “สพฺพาทานํ ธรรมทานํ ชินาติ การให้ทานชนะการให้ทั้งปวง”[๑๔]
การผูกพยาบาทอาฆาตต่อกันก็เป็นการก่อเวรไม่มีที่สิ้นสุด
ดังพระพุทธพจน์ว่า
“อกฺโกจฺฉิ มํ อวธิ มํ อหาสิ เม
เย
จ ตํ อุปนยฺหนฺติ เวรํ เตสํ น สมฺมติ
ผู้ที่เข้าไปผูกเวรว่า
ผู้นั้นได้ด่าเรา ได้ฆ่าเรา
ได้เบียดเบียนเรา เวรของพวกเขาย่อมไม่ระงับ”[๑๕]
จากพระพุทธพจน์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า การผูกพยาบาท
อาฆาตต่อกันไม่สามารถทำให้เวรกรรมสิ้นสุดได้ และไม่สามารถทำศัตรูให้เป็นมิตรได้
การให้อภัยแก่กันเป็นแนวทางในการตัดเวรตัดกรรมกับเจ้ากรรมนายเวรที่ดีสุด มีคุณค่ามากเปรียบเสมือนการให้ธรรมทาน
เพราะฉะนั้นผู้บริหารจึงไม่ควรผูกเวรกับใครเพราะนอกจากจะทำให้เสียเพื่อนร่วมงานร่วมธุรกิจแล้วยังเป็นการสร้างเจ้ากรรมนายเวรใหม่ให้กับตัวเองด้วย
๓.๒
การบริหารตามหลักปิยวาจา
คำพูดไพเราะ
หรือการใช้วาจาสุภาพอ่อนโยนกับเพื่อนร่วมงานกับคนในครอบครัว
จะทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจและมีกำลังในการทำงาน
การใช้คำพูดมีประโยชน์ต่อการบริหารงานหรือต่อการดำเนินชีวิตเป็นอย่างยิ่ง สุนทรภู่
นักกวีเอกของโลกได้ประพันธ์บทกลอนเกี่ยวกับการใช้วาจาไว้หลายสำนวน เช่น ว่า
อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก
แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย
แม้นเจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลาย
เจ็บจนตายเพราะเหน็บให้เจ็บใจ
อีกบทหนึ่งว่า
ถึงบางพูด
พูดดีเป็นศรีศักดิ์
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา[๑๖]
ในชาดกมีเรื่องโคนันทิวิสาล เป็นตัวอย่าง โคนันทิวิสาล
เป็นสัตว์กตัญญูต่อเจ้าของเป็นวัวมีกำลังพิเศษสามาราถลากเกวียนร้อยเล่มได้ อยู่มาวันหนึ่งโคนันทิวิสาลคิดสงสารเจ้าของที่ลำบากทำงานหนักเพราะฐานะยากจน
จึงบอกพราหมณ์ผู้เป็นเจ้าของว่าให้ไปท้าพนันแข่งขันลากเกวียนที่บรรทุกของเต็มทุกเล่มจำนวนหนึ่งร้อยเล่มกับเศรษฐีว่า
วัวของเขาสามารถลากเกวียนให้เคลื่อนที่จากเกวียนเล่มสุดท้ายไปถึงที่ที่เกวียนเล่มแรกจอดอยู่ได้
เจ้าของก็ไปท้าพนันแต่พอถึงวันแข่งขันเจ้าของกลับใช้วาจาไม่สุภาพกับโคตัวเองทั้งๆ
ที่โคไม่เคยเป็นอย่างนั้นมาก่อน คือใช้คำว่า เจ้าโคโกงจงลากเกวียนไป
โคได้ฟังแล้วก็หมดกำลังใจจึงยืนอยู่กับที่ไม่ยอมลากเกวียนไป ทำให้เจ้าของแพ้การพนัน พอกลับมาถึงบ้านเจ้าของเสียใจมากนั่งซึมเศร้าอยู่
โคนันทิวิสาลเห็นเจ้าของนั่งคอตกด้วยความเสียใจ จึงเข้าไปปลอบว่า
พ่อไม่ต้องเสียใจให้ไปท้าพนันใหม่ แต่คราวนี้พ่อต้องใช้คำพูดดีๆ ไม่ให้พูดว่า
โคโกง เพราะเขาไม่ชอบ เจ้าของฟังแล้วจึงไปท้าพนันใหม่
คราวนี้เจ้าของพูดกับโคด้วยคำไพเราะ ทำให้โคมีกำลังใจ ลากเกวียนไปได้รับชัยชนะ[๑๗]
จากตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่า
การใช้วาจาสุภาพอ่อนโยน
ทำให้ผู้ฟังเกิดสบายใจมีกำลังใจพร้อมที่จะทำงานทุกอย่างแม้จะยากลำบากก็ไม่ยอมย่อท้อ
ไม่ว่าแต่การใช้คำสุภาพอ่อนโยนกับมนุษย์เท่านั้นแม้แต่สัตว์เดรัจฉานยังต้องการคำพูดไพเราะ
สุภาพอ่อนโยน
การที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชตอบปฏิเสธเมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่
๑๔
ของฝรั่งเศสส่งศาสนทูตมาเชิญให้เข้ารีตคือเข้านับถือศาสนาคริสต์ด้วยพระองค์ทรงใช้วาจาที่ไพเราะว่า
ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า
พระองค์คงจะดลใจให้เข้านับถือเอง
การที่พระเจ้าไม่ทรงดลใจอย่างนั้นคงเป็นเพราะพระประสงค์ของพระเจ้าที่ไม่ต้องการให้เข้ารีตด้วย
การตอบปฏิเสธของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชในครั้งนั้นไม่ทำให้ฝรั่งเศสเสียใจอะไร
ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ต่อกันลดน้อยลง
ลักษณะอย่างนี้ถือว่าเป็นการใช้ปิยวาจาในการบริหารที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง[๑๘]
ปิยวาจา
ไม่ได้หมายความว่า วาจาอ่อนหวานเป็นที่รักแก่ผู้ฟังอย่างเดียว
วาจาที่เปล่งออกไปแล้วทำให้ผู้ฟังได้สติ ได้ข้อคิดสะกิดใจสามารถเปลี่ยนมุมมอง
เปลี่ยนความคิดผิดเป็นความคิดถูกก็ถือว่า ปิยวาจา เช่นเดียวกัน
ยกตัวอย่างที่พระองค์ทรงใช้วาจาโต้ตอบข้อกล่าวหาของเวรัญชพราหมณ์ที่ไปกล่าวหาพระองค์ต่างๆ
เช่น ว่าพระองค์เป็นคนชอบกำจัด คือทำลายประเพณีเดิมๆ ของพวกพราหมณ์
พระองค์ทรงยอมรับว่าพระองค์ชอบกำจัด
แต่ทรงกำจัดในความหมายของพระองค์คือชอบกำจัดกิเลส กำจัดความแข็งกระด้าง
ความก้าวร้าว ด้วยการวางหลักพระวินัยให้พระสาวกได้ใช้เป็นเครื่องฝึกหัดปรับปรุงพฤติกรรมให้ดีงามน่าเลื่อมใส
ลีลาการใช้วาจาตอบโต้ในลักษณะอย่างนี้ของพระองค์ทำให้เวรัญชพราหมณ์ยอมรับนับถือและยอมมอบตัวเป็นสาวก
รับเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดไป[๑๙]
๓.๓
การบริหารตามหลักอัตถจริยา
อัตถจริยา
คือ การประพฤติให้เป็นประโยชน์ทั้งฝ่ายตนเองและคนอื่น หมายความว่า
ต้องไม่ให้เสียประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
ผู้บริหารต้องพัฒนาตนเองหรือสร้างฐานะของตนให้มั่นคงเสียก่อน
และในขณะเดียวกันก็ไม่ละเลยประโยชน์ของเพื่อนร่วมงานหรือของคนรอบข้างหรือประโยชน์ที่เป็นสาธารณชนทั่วไป
เช่น เข้าร่วมกิจกรรมส่วนรวมอย่างสม่ำเสมอ ตามโอกาส อันควร
ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนฝ่ายเดียว
การทำอย่างนี้จะทำให้เพื่อนร่วมงานและคนรอบข้างเกิดความประทับใจ
แสดงถึงความมีน้ำใจของผู้บริหาร หรือผู้นำองค์กร ผู้นำครอบครัว เมื่อถึง คราวต้องทำประโยชน์ตนบ้างที่ต้องใช้คนช่วยเป็นจำนวนมาก
ก็สามารถที่จะขอกำลังความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงานและคนรอบข้างได้
และคนเหล่านั้นก็พร้อมที่จะช่วยเหลืออย่างภูมิใจอย่างเต็มใจ
หรือถึงแม้ว่าการทำเพื่อประโยชน์ของคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ
ก็เป็นการประพฤติประโยชน์ในความหมายนี้เหมือนกัน
ในเรื่องนี้พระพุทธองค์ทรงทำเป็นตัวอย่างมาแล้วตอนที่พระองค์ทรงบำรุงภิกษุอาพาธรูปหนึ่ง
พระองค์เห็นภิกษุอาพาธถูกพวกภิกษุทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพังจึงเสด็จไปช่วยทำชำระร่างกายแล้วแสดงพระธรรมเทศนาให้ฟัง
หลังจากนั้นพระองค์จึงตรัสพระดำรัสว่า
ใครต้องการหรือปรารถนาจะอุปัฏฐากพระองค์ขอให้อุปัฏฐากภิกษุอาพาธ แล้วรับสั่งให้ภิกษุดูแลกันและกันเพราะว่าพวกเราได้สละครอบครัวญาติพี่น้องมาแล้ว
ถ้าเราไม่ดูแลกันใครจะมาดูแล[๒๐]
๓.๔
การบริหารตามหลักสมานัตตตา
สมานัตตตา คือ
การนำตนเข้าไปเชื่อสมานกับคนอื่น
หรือการวางตนให้เสมอต้นเสมอปลายกับคนอื่นไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน
ร่วมสถาบันต่างๆ ในอาฬวกสูตร ตอนที่พระองค์ไปทรมานอาฬวกยักษ์ดุร้าย
พระองค์ทรงทำตามที่ยักษ์สั่ง คือ ยักษ์สั่งให้ทำอะไรพระองค์ก็ทำตาม คือ
ตอนแรกพระองค์ประทับอยู่ในที่พักของยักษ์ ยักษ์จึงสั่งให้พระองค์ออกมาจากที่พัก
พระองค์ก็เสด็จออกมา ยักษ์สั่งให้พระองค์เข้าไป พระองค์ก็เสด็จเข้าไป
ทำอย่างนี้ถึงสามครั้ง
ครั้งที่สี่ยักษ์สั่งพระองค์เหมือนเดิมแต่พระองค์ไม่ยอมทำตามแล้วบอกกับยักษ์ว่า
เธอจะทำอะไรก็ทำฉันจะไม่ออกไปอีกแล้ว ยักษ์พูดว่า เขาจะจับพระองค์ที่เท้าแล้วขว้างไปฟากฝั่งมหาสมุทรด้านโน้น
พระองค์ตรัสว่า ในโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
พระองค์ยังไม่เห็นใครที่จะทำกับพระองค์ได้อย่างนั้น
ว่าแล้วจึงสั่งให้ยักษ์ทำในสิ่งที่อยากทำ ยักษ์เห็นว่าคงทำอะไรพระพุทธเจ้าไม่ได้จึงถามปัญหากับพระองค์
พระองค์แก้ปัญหาได้จนทำให้อาฬวกยักษ์พอใจและยอมเป็นสาวก[๒๑]
จากตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่า
การลดความต้องการในส่วนของตนแล้วไปเพิ่มให้คนรอบข้างสามารถทำให้คนไม่ดีกลายเป็นคนดีได้
ถึงแม้ว่าผู้ที่เราจะเพิ่มให้นั้นมีเจตนาไม่ดีก็ตาม การทำอย่างนั้นประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ดังอาฬวกยักษ์นี้
การเอาใจเขามาใส่ใจเราเป็นเรื่องสำคัญในการผูกมิตรไมตรีกับผู้อื่นหรือกับคนรัก
ตัวอย่างการนำตนเข้าไปสมานกับคนอื่น เช่น ภรรยากับสามี ภรรยาควรคอยสอบถามเอาใจใส่สามีและคอยให้กำลังใจ
อาทิ ถ้าสามีกลับจากที่ทำงาน ภรรยาเห็นก็ควรจะเข้ามาทักทายด้วยถ้อยคำที่แสดงถึงความเป็นห่วง
เช่นว่า งานเป็นอย่างไรบ้าง วันนี้เหนื่อยไหม งานหนักไหม มาเหนื่อยๆ ดื่มน้ำเย็นๆ สักแก้วก่อนนะ
ว่าแล้วก็นำน้ำดื่มมาให้สามี ลักษณะ อย่างนี้
เรียกว่าภรรยาเอาตัวเข้าไปสมานกับสามี หรือ กรณีบุตรธิดากับบิดามารดา เช่น
ลูกกลับจากโรงเรียนก่อนบิดามารดา ก็ช่วยทำงานบ้านรอ ถ้าเห็นบิดามารดากลับจากที่ทำงานก็วางงานของตนไว้ก่อนเข้าไปไหว้และถามบิดามารดาด้วยถ้อยคำสุภาพอ่อนโยน
อาทิ หวัดดีครับหวัดดีคะพ่อ แม่ วันนี้ทำงานเหนื่อยไหม
ดื่มน้ำก่อนนะหรือทานของว่างก่อนนะ หนูจะจัดให้ หรือถามว่า พ่อ แม่
ปวดเมื่อยตรงไหน หนูจะนวดให้ อย่างนี้ถือว่า ลูกได้เอาตัวเองเข้าไปสมานกับพ่อแม่
ถ้าครอบครัวใดปฏิบัติอย่างนี้จะทำให้คนในครอบครัวมีความสุข
อยู่ด้วยกันด้วยความรักความเมตตาต่อกัน
แต่ละคนก็จะมีกำลังในการทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ และงานก็จะประสบความสำเร็จ
ตัวอย่างเรื่องสามีเอาตัวเองไปเชื่อมสมานกับภรรยา
ลดประโยชน์หรือความต้องการของตนเพื่อความสุขของภรรยา เช่น เรื่องนางพญาปลาดุก ตอนที่พระนางพิมพาเถรี จะเสด็จปรินิพพาน
พระนางได้ไปทูลลาพระผู้มีพระภาค แล้วขอขมาโทษล่วงเกินเผื่อว่าจะมีอยู่บ้างด้วยความพลั้งพลาด
ทั้งในอดีตชาติและในชาติปัจจุบัน พระนางได้พูดถึงอดีตชาติตอนที่เป็นปลาดุก ขณะที่นางตั้งครรภ์
นางคิดอยากกินหญ้าอ่อน เพื่อบำรุงร่างกาย นางปลาดุกจึงบอกปลาดุกผู้สามีให้ไปคาบเอาหญ้าอ่อนมาให้ ด้วยความรักที่มีต่อภรรยา สามีก็ไป
ไปถึงทุ่งนาแห่งหนึ่ง ขณะนั้นมีพวกเด็กเลี้ยงวัวยืนอยู่เป็นจำนวนมาก ปลาดุกพระโพธิสัตว์ก็หาจังหวะอยู่
พอพวกเด็กเผลอ ปลาดุกก็กระโดดกัดเอาหญ้าอ่อน พอพวกเด็กเห็นเท่านั้น ก็พากันรุมจับปลาดุกอย่างชุลมุน
เอาไม้ตีที่หางปลาดุกจนหางขาด ปลาดุกพยายามหนีจนรอดชีวิตมาได้แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
พอไปถึงก็คลายหญ้าอ่อนออกให้ภรรยาแล้วนอนหันหางให้ภรรยาดูบาดแผล ไม่นานนักก็สลบไปเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว
พระนางพิมพาเถรีเล่าเรื่องนี้เพื่อจะขอขมาสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
ว่าในชาตินั้นพระนางได้ทำให้พระองค์ลำบากเพราะความอยากของนาง ขอให้พระองค์ผู้เคยเป็นพระสวามีอดโทษให้ ขออย่าได้เป็นเวรภัยต่อนาง
และชาตินี้ก็เป็นชาติสุดท้ายแล้ว ต่อไปจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว[๒๒]
จากตัวอย่างนี้เป็นการใช้สมานัตตตาคือการเอาตนเข้าไปเชื่อมสมานกับคนรอบข้างเป็นการลดความต้องการในส่วนของตนแล้วไปเพิ่มให้กับคนรอบข้าง
ไม่ว่าจะเป็นสามีกับภรรยา หรือบิดามารดากับบุตรธิดา เป็นต้น
ถ้าครอบครัวใดหรือองค์กรใดปฏิบัติอย่างนี้ จะนำความสุขความเจริญรุ่งเรืองมาสู่องค์กรและครอบครัวตลอดไป
๔. บทสรุป
การบริหารงานตามหลักสังคหวัตถุในพระพุทธศาสนาเป็นหลักการยึดเหนี่ยวจิตใจของกันและกันเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ในการผูกมิตรไมตรีต่อกัน
ผู้บริหารควรยึดเอาเป็นแนวทางในการบริหารงานในครอบครัวและในองค์กรที่รับผิดชอบอยู่หลักการนี้พระพุทธองค์ทรงรับรองหรือเป็นพุทธพจน์ที่ไม่มีความหมาย
๒ นัย หมายความว่าพระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ไม่มีนัยเป็นอย่างอื่นจากที่ทรงพยากรณ์ไว้
ความสำเร็จของงานคือจุดหมายสูงสุดของการบริหาร
การที่มีศัตรูเพียงหนึ่งคนก็ถือว่ามาก
การที่เรารู้จักคนเพียงคนเดียวก็ถือว่าน้อยมาก การที่จะไม่มีศัตรูและการที่จะรู้จักคนหลายคน
มีหลักการและวิธีการที่พระพุทธองค์ได้วางไว้แล้วชื่อว่า หลักสังคหวัตถุ เป็นหลักคำสอนที่ให้ประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ผู้ปฏิบัติตามตั้งแต่อดีตเมื่อสองพันกว่าปีจนถึงปัจจุบันยังไม่มีทฤษฎีใดมาล้มล้างได้
[๑] สำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, อ้างใน http://www.space.mict.go.th/astronomer.php?name=galileo (๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๕).
[๒] สำนักงานกองทุนกองทุนสนับสนุนการวิจัย
(สกว.), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวิชาการดอทคอม, อ้างใน http://www.vcharkarn.com/varticle/40783 (๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๕).
[๓] สำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร,
อ้างแล้ว.
[๔] สำนักงานกองทุนกองทุนสนับสนุนการวิจัย
(สกว.), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวิชาการดอทคอม, อ้างแล้ว.
[๕] สำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร,
อ้างแล้ว.
[๖] พระพรหมคุณาภรณ์
(ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์ครั้งที่ ๑๖,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ บริษัท สหธรรมิก จำกัด, ๒๕๕๔),
หน้า ๔๑๒.
[๗] องฺ.ทุก.
(ไทย) ๒๐/๑๔๒/๑๒๐. ดูเพิ่มเติมใน พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์
ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๑๒, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,
๒๕๔๖), หน้า ๖๒.
[๘] ที.ปา.
(ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๖๙.
[๙] องฺ.ปญฺจก.
(บาลี) ๒๒/๓๕/๓๕, องฺ.ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๓๕/๕๖.
[๑๐] สํ.ส.
(บาลี) ๑๕/๒๔๖/๑๕๘, สํ.ส. (ไทย)
๑๕/๒๔๖/๓๕๓.อง.ปญฺจก. (ไทย) ๒๕/๑๘๙/๕๔๔.
[๑๑] พระพุทธโฆสเถระ,
วิสุทธิมรรค, ภาค ๒, แปลโดย สภาวิชาการมหามกุฏราชวิทยาลัย. วิสุทฺธิ. (ไทย) ๒/๖๘.
[๑๒] ดูรายละเอียดใน
ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๖/๒๐๕-๒๑๑.
[๑๓] http://www.gotomanager.com (๒๒ สิงหาคม
๒๕๕๕).
[๑๔] ขุ.ธ.
(บาลี) ๒๕/๓๕๔/๓๕, ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๕๔/๑๔๔.
[๑๕] ขุ.ธ.
(บาลี) ๒๕/๓/๘, ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓/ ๒๔.
[๑๖] กลอนสุนทรภู่
รวมกลอนสุนทรภู่ อ้างใน http://www.zoneza.com (๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๕).
[๑๗] ขุ.ชา.อ.
(บาลี) ๑/๑๓๗-๑๓๙. ขุ.ชา.อ. (ไทย)
๑/๕๐-๕๒.
[๑๘] http://th.wikipedia.org/wiki
(๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๕)
[๑๙] วิ.ม.อ.
(ไทย) ๑/๑๐๐.
[๒๐] พระภิกษุรูปนั้นชื่อว่า
พระปูติคัตตติสสะ ดูรายละเอียดใน ขุ.ธ.อ.
(ไทย) ๒/๑๗๗-๑๘๐.
[๒๑] ดูรายละเอียดใน
ขุ.อิติ. (ไทย) ๒๕/๑๙๑/๕๔๕.
[๒๒] พระพรหมโมลี (วิลาส ญาณวโร ป.ธ. ๙), วิมุตติรตนมาลี, อ้างใน
เว็บบล็อกบ้านพี่พลอย, http://bannpeeploy.exteen.com/ (๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๕).
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น